วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ไม่พอใจในสิ่งที่มี

ไม่พอใจในสิ่งที่มี

     มีอีกาฝูงหนึ่ง หลังจากกินอาหารเสร็จก็มาประชุมถกปัญหากัน
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เหล่าอีกาไม่พอใจก็คือ ขนสีดำของมันนั่นเอง
ถึงแม้จะเป็นสีดำสนิทเงางาม แต่พวกมันกลับไม่ชอบ
พวกอีกากลับหลงไหลขนอันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ของหงษ์
และก็พากันอิจฉาอยากมีขนสีขาวๆ เหมือนหงส์บ้าง  

กาตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า
 "ข้าว่าเป็นเพราะหงษ์ชอบลงอาบน้ำบ่อยๆ และได้อาศัยอยู่ข้างลำธาร จึงทำให้ขนเป็นสีขาว"  

 อีกตัวจึงได้พูดตอบว่า
"เออ คิดๆ ดูอาจจะจริงอย่างที่นายว่าก็ได้ถ้างั้น
พวกเราควรจะว่ายน้ำกันบ่อยๆ และพักอยู่ใกล้สระน้ำซะเลย
เราจะไดัมีขนสีขาวเหมือนหงษ์ไง ..โห..แค่คิดก็เท่ห์แล้ว"

       เมื่อทุกตัวลงความเห็นเหมือนกันเรียบร้อยแล้ว
พวกอีกาทั้งหมดได้พากันละทิ้งรังเก่าของตัวเอง ที่อยู่กันมานานแสนนาน
แล้วอพยพกันไปอยู่ใกล้ๆ กับริมลำธาร

     เมื่อมาถึงพวกอีกาพากันเฮโลลงไปอาบน้ำกันอย่างสนุกสนาน
โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นเป็นอีกา พากันเล่นน้ำตลอดทั้งวันทั้งคืน
เพราะคิดว่า ยิ่งแช่น้ำนานเท่าไหร่ ยิ่งขาวได้เร็วขึ้นเท่านั้น 
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ขนก็ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม

     เมื่อกาทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยพากันขึ้นจากน้ำไม่ทันข้ามวัน
แต่ละตัวเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ จากนั้นไม่นานก็พากันป่วยไข้ไปตามๆ กัน 
อีกาทั้งหลายก็พากันเจ็บป่วยล้มตายกันทีละตัวสองตัว
ในที่สุด....ก็เหลือแต่ซากความทรงจำสุดท้าย ของอีกาที่อยากจะเป็นหงส์


ชี้หิน



มีเทวดาองค์หนึ่ง เหาะลงมายังเมืองมนุษย์ เพื่อต้องการค้นหาบุคคลที่ไม่มีความโลภ และสละแล้วซึ่งกิเลสความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ

เมื่อถึงโลกมนุษ์แล้ว เทวดาได้แปลงกายเป็นชายชราและเดินตรงไปยัง
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่คนเดียว ชายชราจึง
ตรงเข้าไปหาแล้ววางก้อนหินขนาดหัวแม่มือ ลงตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมใช้นิ้วชี้ของท่านชี้ก้อนหินนั้น และแล้วหินก็กลายเป็นทองคำเหลืองอล่ามในทันที

"เอ้า...ข้าให้เจ้า รับไว้ซิ เดี่ยวข้าจะไปธุระต่อ"
ชายชราพูดแล้วก็หยิบทองคำยื่นส่งให้แก่ชายหนุ่ม แล้วก็เดินจากไป

ชายชราเดินลับหลังมาได้สักครู่ ก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมวิ่งตามมาพร้อมกับพูดอย่างระล่ำระลักเชิงขอร้องว่า
"คุณตาครับ กรุณาช่วยชี้หินก้อนนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"
พูดแล้วก็วางก้อนหินขนาดใหญ่ลงตรงหน้าเทวดาที่ปลอมตัวมา
"ข้าไม่ชี้ให้เอ็งหรอก เพราะเอ็งมันเป็นคนโลภมาก"
พูดแล้วชายชราก็เดินจากไป

ต่อจากนั้นชายชราก็เดินเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ แล้วก็ทำเหมือนเดิมทุกครั้งที่ส่งหินทองคำให้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย
ทุกคนจะต้องตามมาขอร้องให้ชายชราชี้หินก้อนโตกว่าเดิมให้

เทวดาที่ปลอมเป็นชายชราเห็นแล้วรู้สึกหมดกำลังใจ และคิดว่าคงจะหาใครสักคนที่เป็นผู้ไม่โลภโมโทสันในโลกมนุษย์นี้ไม่ได้เป็นแน่แท้ คิดจะกลับสู่สวรรค์แต่เพื่อให้มั่นใจจึงน่าจะลองดูอีกสักคน เผอิญเหลือบไปเห็นพระฤาษีตนหนึ่งกำลังนั่งบำเพ็ญตบะใต้ต้นไม้จึงเดินตรงเข้าไปหา พลางเอาก้อนหินวางไว้ตรงหน้า แล้วใช้นิ้วชี้ก้อนหินนั้นให้เป็นทองคำแล้วพูดกับฤาษีว่า
"ข้าแด่ท่านผู้ทรงศีลข้าขอถวายหินทองคำก้อนนี้แด่ท่าน"
"อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด"
พระฤาษีตอบพร้อมส่ายหน้า

ชายชราจึงนำเอาก้อนหินขนาดเขื่องกว่าเดิมมาชี้ให้เป็นทองคำ แล้วถวายแด่ฤาษี คำตอบที่ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิมคือ
"อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด"

แม้ชายชราจะนำเอาก้อนหินขนาดใหญ่สักเท่าใดก็ตาม มาชี้แล้วส่งให้ก็ได้รับคำปฎิเสธ ทำให้ชายชรามีกำลังใจขึ้นมาก คิดในใจว่า
"พระฤาษีตนนี้แหละ คือผู้ไม่โลภเป็นแน่แท้"
ก่อนที่ชายชราจะจากไป ด้วยความสงสัยจึงถามพระฤาษีว่า
"เหตุใดท่านจึงไม่รับหินทองคำเหล่านี้ไว้ ท่านไม่อยากได้หรือ"
"ใช่อาตมาไม่อยากได้ทองคำเหล่านั้นหรอก"
พระฤาษีตอบแล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่ง
พร้อมกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก และจึงพูดต่อ
"แต่อาตมาอยากได้นิ้วที่ชี้หินนั้นมากกว่า"

เทวดาซึ่งปลอมเป็นชายชราได้ยินพระฤาษีพูดดังนั้นถึงกับนิ่งอึ้งแล้วก็เดินหนีไป

แม่ไม่คิดเงิน


โอ่งวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้ยากไร้กับภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ชายผู้นี้มีนามว่า "อาเหลา" อาเหลามีปู่สูงอายุอาศัยร่วมอยู่ในบ้าน
คุณปู่อายุมากแล้ว ไม่มีใครทราบอายุของคุณปู่ แม้ตัวคุณปู่เองก็จำไม่ได้

บุตรหลานที่ดีควรจะดูแลเลี้ยงดูบรรพบุรุษ
แต่อาเหลาและภรรยาไม่ได้สนใจดูแล จัดหาอาหารการกินให้เพียงเล็กน้อย
ซ้ำยังให้ทำงานหนัก แม้ว่าคุณปู่จะผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาขุดพบโอ่งเก่าคร่ำคร่าในทุ่งนา
"โอ่งใบนี้น่าจะใช้เก็บน้ำได้"
อาเหลาครุ่นคิดในใจ จึงแบกกลับบ้าน
พอถึงบ้านก็ให้ภรรยาใช้แปรงขัดทำความสะอาดโอ่ง
พอดีแปรงหลุดจากมือหล่นลงไปในโอ่ง
ในทันใดนั้นเองโอ่งก็มีแปรงเต็มอัดแน่น
ไม่ว่าเธอจะกอบและโกยแปรงออกมามากเท่าใด ในโอ่งก็ยังมีแปรงเต็มแน่นเสมอ
"เราน่าจะเอาแปรงไปขายที่ตลาด"
อาเหลาบอกกับภรรยา

อาเหลาเอาแปรงไปวางขายในตลาด ไม่ช้าไม่นานก็เก็บเงินได้มากมาย
เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็จับจ่ายซื้ออาหารรสเลิศ และเสื้อผ้าแพรพรรณงดงามมากมาย แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนึกถึงคุณปู่แม้แต่น้อยนิด

อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาทำแท่งทองหล่นลงไปในโอ่ง แปรงหายวับไปจากโอ่ง
อาเหลาใจหายวาบเมื่อมองเห็นโอ่งว่างเปล่า แต่ทว่าในนาทีถัดมาโอ่งวิเศษก็มีแท่งทองเต็มอัดแน่น อาเหลาตะโกนเรียกภรรยาเสียงหลง
"มาดูอะไรนี่ มาดูนี่ นี่ไง"
เมี่อผู้เป็นภรรยามองเห็นทองอัดแน่นอยู่ในโอ่งวิเศษ เธอสุดแสนจะดีใจ

อาเหลาขนทองคำออกจากโอ่งวิเศษได้ไม่รู้จบ อาเหลาสร้างบ้านหลังใหญ่
ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายประดุจเจ้าผู้ครองนคร

อาเหลาบังคับให้ปู่เป็นผู้ตักแท่งทองออกจากโอ่งวิเศษ เพื่อให้ทองคำผุดขึ้นมาอัดแน่นเต็มโอ่งอยู่เสมอ เมื่อใดที่พ่อเฒ่าเหน็ดเหนื่อยรามือพักหอบหายใจ อาเหลาจะตะคอกดุด่าให้ทำงานต่อไป

อยู่มาวันหนึ่ง คุณปู่พลัดตกลงไปในโอ่งวิเศษ ทองแท่งในโอ่งหายวับไป
อีกไม่กี่อึดใจ คุณปู่แก่หง่อมก็ค่อยๆปีนออกจากโอ่งวิเศษ ทีละคนสองคน
เมื่ออาเหลากับภรรยามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายภรรยาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง
"รีบทำอะไรสักอย่างซิ ก่อนจะมีตาแก่โผล่ออกมาอีก"

อาเหลาจึงรีบหยิบพลั่วหวดใส่โอ่งวิเศษเต็มแรง จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แต่ก็สายเกินไปแล้ว อาเหลามีคุณปู่ถึง 6 คน แล้วอาเหลาก็ตะคอกดุด่า
คุณปู่ทุกคนด้วยเสียงอันดัง แต่คุณปู่ทั้งหกไม่เกรงกลัวอาเหลาอีกต่อไปแล้ว คุณปู่ช่วยกันขับไล่สองสามีภรรยาให้ออกนอกบ้านไป

อากาศนอกบ้านหนาวเหน็บลมเย็นยะเยือกพัดกระโชก สองสามีภรรยาหนาวสั่นและเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความมืดนอกบ้าน อาเหลาและภรรยาจึงเคาะประตูร้องวิงวอนว่า
"ได้โปรดเถิดคุณปู่ เปิดประตูรับพวกเราด้วย อย่าปล่อยให้เราหนาวตายอยู่นอกบ้านเลย"
คุณปู่ในบ้านส่งเสียงตอบ
"มีกี่ครั้งที่ข้าร้องขอความกรุณาจากเจ้าทั้งสอง แต่เจ้าไม่เคยเปิดหูรับฟังเลย"
"ได้โปรดเถิดคุณปู่ เราทั้งสองสำนึกและเสียใจแล้ว ขอได้โปรดอภัยให้เราสองคนด้วย"
อาเหลาร้องวิงวอนเสียงกระเส่า
ท้ายที่สุด คุณปู่ก็เปิดประตูรับทั้งสองเข้าบ้านด้วยความสงสาร

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา อาเหลากับภรรยากลายเป็นคนใหม่ เอาใจใส่ดูแล
เลี้ยงดูคุณปู่ทั้งหกเป็นอย่างดี


วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ช้างกับมดแดง



    ช้างตัวหนึ่ง ทะนงตนว่าเป็นสัตว์ใหญ่และมีพละกำลัง
เหนือกว่าสัตว์ทุกประเภท จึงมักเที่ยวระรานสัตว์น้อยใหญ่ในป่าอยู่เสมอ 
    
     วันหนึ่ง ขณะที่มันกำลังหากินอยู่นั้น ไปพบรังมดแดงรังหนึ่งเข้า 
จึงใช้งวงกระชากลงมา หมายจะขยี้ให้แหลกทั้งรัง 
ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว 
มดแดงทั้งรังจึงพากันกรูเข้ากัดงวงช้าง 
บางส่วนก็กรูเข้าไปกัดในรูจมูกและส่วนอื่น ๆ 
ทำให้ช้างเกเรได้รับความเจ็บปวด จนต้องหนีไปในที่สุด...

           +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความสามัคคี การรวมพลัง ที่ทำให้มดแดงตัวเล็ก ๆ ยังสามารถเอาชนะสัตว์ใหญ่อย่างช้างได้
ความสามัคคี เป็นพลังที่แข็งแกร่งก่อให้เกิดความสุข เป็นพื้นฐานแห่งความเจริญในทุกด้าน


  ในหมู่มนุษย์ ความสามัคคีนั้น ย่อมเกิดได้เพราะการกระทำ ๓ ทาง คือ

       ๑. ทางกาย การใช้เรี่ยวแรงทางกาย ช่วยกันทำงานหรือภารกิจอื่นใดอย่างพร้อมเพรียง ไม่เกี่ยงงอนจนงานนั้น ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้

       ๒. ทางวาจา พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระ ไม่ใช้ปากก่อความขัดแย้งทะเลาะวิวาท แต่พูดในทางให้เกิดไมตรีจิตมิตรภาพ

       ๓. ทางใจ มีเมตตารักใคร่ หวังดีต่อกันอย่างจริงใจ แม้จะทำให้มีความคิดเห็นแตกต่าง แต่ก็ไม่แตกแยก

สละได้ย่อมได้รับ

มีนกอยู่ชนิดหนึ่ง มันสามารถบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้

สิ่งที่มันต้องการนั้นเพียงแค่กิ่งไม้กิ่งเดียว
มันคาบกิ่งไม้นั้นไว้ที่ปาก
เมื่อมันบินจนเหนื่อย มันก็จะทิ้งกิ่งไม้ลงไปในทะเล

จากนั้นมันก็จะบินลงไปพักอยู่บนกิ่งไม้นั้น
เมื่อมันหิว มันก็ยืนจิกปลาอยู่บนกิ่งไม้นั้นเช่นกัน
เมื่อมันง่วง มันก็นอนอยู่บนกิ่งไม้นั้น


หากปากของมันไม่ได้คาบกิ่งไม้ แต่เป็นอาหารหรือว่ารังของมัน มันจะบินได้นานสักเท่าไหร่!


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน สละได้ย่อมประสบผลสำเร็จ

ดังคำกล่าวที่ว่า มีสละย่อมมีได้ เป็นผลตอบแทน ละซึ่งสัมภาระจึงปีนขึ้นสู่เขาสูงชันได้!


วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Images Of How Smartphones Take Over Our Lives

Do you think we're better off now that we all have smart-phones or not? How have cellphones impacted your life?










Who moved my cheese?

มีสิ่งมีชีวิตจิ๋วอยู่ 4 ชีวิต วิ่งวนอยู่ในเขาวงกต ซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง

 เพื่อเสาะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต

ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ “ สนิฟฟ์ ” กับ ” สเคอร์รี่ ”

และมนุษย์แคระอีกสองคนชื่อ “ เฮ็ม ” กับ “ ฮอว์ ”

ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันในการวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น

เจ้าหนู สนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ

โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้

แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง

ส่วนคนแคระเฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย 

ในที่สุดทั้ง 4 ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่

ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปได้ตลอดชีวิต

พวกเขาได้พบแหล่งอาหารอันวิเศษที่แสนสะดวกสบาย

และไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป

      เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้ง 4 ชีวิต ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป

เจ้าสนิฟฟ์ เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันออกวิ่งค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที

ส่วนเจ้าสเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า

สนิฟฟ์ ไปถึงไหนสเคอร์รี่ ก็ไปที่นั่น

คนแคระ เฮ็ม กับ ฮอว์ ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป

เฮ็ม ถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่า ไม่ยุติธรรมกับเขา

แต่ ฮอว์ ดูจะยอมรับความจริงได้มากกว่า เขาเริ่มคิดว่า เขาควรทำการเปลี่ยนแปลง

เขาจึงชวน เฮ็ม ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูสองตัวกำลังทำอยู่

ปรากฏว่า เฮ็มไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง

และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม

ฮอว์ นั้นแม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่ เช่นกัน

เขาจึงกลับไปชวนเฮ็มให้ออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่

แต่ เฮ็มกลับปฏิเสธ ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก

ฮอว์ จึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น

ระหว่างที่ ฮอว์ ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ทีละน้อย เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ

“ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจจะสูญพันธุ์ ”

ฮอว์ สุขสบายอยู่ในคลังเนยแข็งใหม่แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมา

ตามลายแทง และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้

แล้ววันหนึ่งฮอว์ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจจะเป็น เฮ็ม ก็ได้ใครจะรู้

    4 ชีวิตเป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณ และความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

สนิฟฟ์ เป็นผู้ดมกลิ่นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใคร จึงนำออกไปก่อน

สเคอร์รี่ ไม่คิดอะไรเลยวิ่งตามกระแสอย่างเดียว

เฮ็ม เป็นผู้ปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลวร้ายกว่าเดิม

ส่วน ฮอว์ เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า


      นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด



วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความสำคัญของวันลอยกระทง

การลอยกระทง จัดว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย ประการหนึ่ง ซึ่งประชาชนคนไทยได้อนุรักษ์และสืบสานต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จวบจนถึงปัจจุบัน ประเพณีการลอยกระทง มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญๆ ดังนี้

   ๑.เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย และบูชาพระมหาจุฬามณี อันเป็นที่ประดิษฐานพระเมาลีของพระพุทธเจ้า ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

  ๒.เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อแม่น้ำที่ได้ใช้อุปโภคมาทั้งชีวิต และขอขมาโทษที่มนุษย์ได้ล่วงเกินด้วยการทิ้งสิ่งปฏิกูลโสโครก ลงในแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำสกปรก

  ๓.เพื่อลอยบาปเคราะห์ ทุกข์ โศก โรค ภัย และสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ให้พ้นออกไปจากตัว ฝากไปกับกระทงนั้น

  ๔.เพื่อเป็นการเสริมสร้างศิลปะอันเกิดจากการประดิษฐ์กระทง และเสริมสร้างความรู้รักสามัคคี ปรองดองของคนในชาติ เช่น มีการประกวดนางนพมาศ เป็นต้น

  ๕.เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยว และความรื่นเริงสนุกสนาน ของคนในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น มีการแข่งเรือและประกวดโคมไฟ เป็นต้น

  ๖.เพื่ออนุรักษ์และสืบสานประเพณีอันดีงามของชาติ ให้คงอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไป


  ดังนั้น วันลอยกระทง จึงสมควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์และสืบสานประเพณีนี้ให้คงอยู่คู่กับชาติไทย ตลอดไป " อยากให้ไทยคงเป็นไทย อย่าทำลายวัฒนธรรม การทำลายวัฒนธรรม คือ การทำลายชาติ และการรักษาวัฒนธรรมก็คือ การรักษาชาติ "